วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

ให้ทุนค่ายชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน ม.เทคโนโลยีมหานคร [ควันหลง]


ค่ายนี้เป็นค่ายควันหลง คือส่งโครงการมาหลังจากที่ได้ประกาศปิดรับโครงการเป็นการชั่วคราวไปนานแล้ว ขอทุนมาทั้งหมด ๓ หมื่นบาท แต่ให้ทุนไปแค่ ๕ พันบาท

ต้องยอมรับว่าค่ายนี้น้อง ๆ คิดโครงการมาได้ดีมาก ๆ มีทั้งการพัฒนา และการร่วมศึกษาศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนมีกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา อยากให้เต็ม ๓ หมื่น อย่างที่ขอมา แต่ต้องตัดใจให้แค่นี้ เพราะส่งมานอกเวลา เรียกว่าผิดกฎเกณฑ์ก็ได้ ภาพด้านล่างคือหลักฐานการโอนเงินสนับสนุนทุนในการออกค่ายอาสาพัฒนาครั้งนี้ เป็นจำนวน ๕ พันบาทถ้วน


อยากให้น้อง ๆ ชาวค่ายอาสา ได้ศึกษาโครงการของค่ายนี้ดู เพื่อเป็นแนวทางในการทำค่าย และเป็นแนวทางในการเขียนโครงการเพื่อขอทุน แม้จะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีครับ

สืบสานวัฒนธรรม ลำนำถิ่นไทย สู่อ้อมใจชาวอีสาน

ความรู้สึกของชาวค่ายเศรษฐศาสตร์ปริทัศน์ มรภ.เลย ที่ได้รับทุนทำค่ายอาสาจากสายลมแห่งอาสา


หลังจากเอนทรี่ หรือบทความที่ผ่านมาเป็นรายงานผลงาน และความรู้สึกของค่ายสร้าง รัฐศาสตร์ ฯ มช. คราวนี้ขอนำเสนอความรู้สึกของน้อง ๆ ( หรือหลาน ? ) ชาวค่ายเศรษฐศาสตร์ปริทัศน์ แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย

ค่ายนี้เป็นค่าย ๆ เล็ก ๆ ไม่ใหญ่ไม่โต ทั้งโครงการสิ้นงบประมาณไปไม่ถึง ๓๕,๐๐๐ บาทเท่านั้น โดยสายลมแห่งอาสา เราได้ให้ทุนสนับสนุนค่ายนี้ไป ๓๐,๐๐๐.- บาทถ้วย ถือเป็นการประเดิมด้วย เพราะเป็นค่ายแรกเลยที่ส่งโครงการเข้ามาขอทุน ลองมาดูความคิดเห็น และความประทับใจของชาวค่าย และชุมชนว่ามีความประทับใจในการออกค่ายครั้งนี้อย่างไรบ้าง



นางสาวอรุณี  วัฒนราช   สมาชิกค่ายอาสา สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ชั้นปีที่ 2
มีความรู้สึกกับค่ายนี้ว่า

“ตอนแรกนะไม่อยากไปหรอกค่าย รู้สึกว่ามันเหนื่อย (เพราะไปค่ายที่ไรเหนื่อยทุกที)  แต่พอเห็นอาจารย์จิ๊บ ที่ต้องทำงานแทนนักศึกษา ก็มีความคิดใหม่ขึ้นมาเลย ยังไงก็ต้องไปเข้าค่าย ต้องทำให้อาจารย์สบายใจ  แล้วก็หายเหนื่อย  อะไรที่พอช่วยอาจารย์ได้ ก็จะช่วยทำ แล้วยังมารู้ทีหลังว่า นักศึกษาต้องเขียนโครงการที่จะออกค่ายเองเท่านั้นแหละ ปวดหัวเลย ไม่มีใครเขียนโครงการ ที่แรกก็เข้าใจว่าอาจารย์ต้องเขียน พอเอาเข้าจริงๆ ดันกลายเป็นนักศึกษาซะงั้น เข้าใจผิดอยู่ตั้งนาน  คิดว่าจะสบายซะอีก ก็รอดูอยู่ว่าใครจะเป็นคนเขียน ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเป็นคนเขียนเลย ประธานค่ายคนเดิมนะ ก็บอกแต่ว่าไปดูมาแล้ว โครงการก็เขียนแล้ว แต่ก็ไม่เห็นผลงานเลย เอาละทนไม่ไหวแล้ว ถ้าเราไม่ทำใครจำเป็นคนทำ” หลังจากนั้น ประมาณสองวัน ก็เลยชวนเพื่อนๆ “เพื่อน เราเขียนโครงการออกค่ายกันเหอะ ถ้าเราไม่เขียน มันก็จะไม่เสร็จนะ”เท่านั้นแหละ ไม่รอช้า พากันรีบเร่งเลย  (เหนื่อยมากๆ)
จากนั้น อาจารย์จิ๊บก็มาบอกว่า “หลวงพี่โอ๊ต ท่านแจกทุนทำค่ายนะเท่านั้นแหละ   ก็ไม่รู้ว่าทำเรื่องขอทุนไป ท่านจะให้ทุนกับค่ายเราหรือป่าว  แต่สุดท้ายก็ส่งไป ก็ยังรอลุ้นอยู่ว่าจะได้หรือป่าว (ภาวนาว่าขอให้ท่านอนุมัติทุนให้) รออยู่หลายวันเหมือนกันกว่าจะได้รู้ผล แต่ผลก็ยังไม่รู้สะที  หลวงพี่ท่านก็ส่งคำถามมาให้ตอบ (แบบว่าก็ตอบไปนะ แต่ไม่รู้จะใช้คำพูดกับหลวงพี่ยังไง  ส่งผิดส่งถูก อายหลวงพี่จังเลย)  อาจารย์จิ๊บก็บอกว่าเล่นอะไรอะ อะไรเตอร์ๆ วิสเตอร์ ทวิสเตอร์อะไรนั้นนะกับหลวงพี่ ดิฉันก็ไม่รู้อะ นั้นแหละอาจารย์จิ๊บท่านเลยบอกว่าหลวงพี่ท่านส่งเมลล์มาให้เบนต์นะ ให้เบนต์ตอบคำถามท่านไป  (พอดีวันนั้นไปเปิดดูเมลล์พอดี ว่าจะโทรถามอาจารย์จิ๊บเหมือนกัน แต่อาจารย์เหมือนรู้ใจ โทรมาหาเราก่อน เหมือนรู้ว่าเรากำลังมีเรื่องจะปรึกษาเลย) ก็เลยส่งเมลล์กลับไปหาหลวงพี่ สักประมาณสองวัน ก็เลยส่งกฎของค่ายตามไป(ไม่รู้เลยว่าท่านให้ทุนหรือป่าว ส่งไปก่อนเลย อิอิ)” ในระหว่างที่รอผลจากหลวงพี่  ไม่รอช้าชวนเพื่อนอีกสองคน ไปขอความอนุเคราะห์บริจาคน้ำดื่มจาก ส.ส. บ้าง ส.จ. บ้าง แล้วก็ไปขอจากนายก อบจ.ด้วย  (แต่ดันพิมพ์ชื่อนายก อบจ. ผิด เลยอดเลย) ต้องมาทำเรื่องเขียนหนังสือขอความอนุเคราะห์อีก (เป็นอะไรที่ยุ่งยากมาก) แต่สุดท้ายก็ได้มาอย่างง่ายดาย น้ำดื่มเพียบ แต่ยังรอผลจากหลวงพี่โอ๊ตว่าจะได้หรือป่าว ถึงกลับต้องไปเดินขอรับบริจาค จากพี่ๆที่มาซ้อมรับปริญญา(เป็นอะไรที่น่าอายมากๆ แต่ก็ไม่อายหรอก ถือคติที่ว่า ถ้าด้านก็ไม่ได้ ถ้าอายก็อด ๕๕๕)สุดท้ายความฝันก็เป็นจริง หลวงพี่ส่งเมลล์มาบอกว่าจะโอนเงินมาให้อีกสามวันก่อนเข้าค่ายเท่านั้นแหละเอ๋ย ความดีใจก็บังเกิดเลย ทำอะไรไม่ถูก ได้ออกค่ายแล้วดีใจจัง
พอถึงวันไปค่าย “ตื่นเต้นมากๆ นอนตั้งแต่ ๑ ทุ่ม (ทั้งๆที่นอนแต่ละครั้งนะนอน ตี ๒ โน้น) ตื่นเช้ามาด้วยความตื่นเต้น ออกไปรอเพื่อนตั้งแต่ตีห้าครึ่ง พอถามเพื่อนนะ เพื่อนบอกว่ารถออก ๖ โมงครึ่ง (โฮ้ รอนานมากกว่าจะได้ไป)” บรรยากาศบนรถ แบบว่า “นั่งรถจนเป็นตะคริว ขานี้ชาสุดๆ นั่งรถเกือบสามชั่วโมงได้กว่าจะถึง บนรถมีความสนุกสนานมากๆ หนทางนี้สุดยอด เลี้ยวกันกันเป็นว่าเล่น เดี๋ยวก็ขึ้นเขา เดี๋ยวก็ลงเนิน ใจหายใจคว่ำหมด  พอถึงเท่านั้นแหระก็เริ่มงานกันเลย แต่ละคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเองได้ดีมาก ตกเย็นก็พากันสวดมนต์ ไหว้พระก่อนนอน นอนหลับสบายเลย”
พอวันที่สอง “ตื่นแต่เช้า มาออกกำลังกาย พอบ่ายก็พากันแข่งกีฬา สานความสัมพันธ์กับชาวบ้าน ดิฉันกลับเพื่อนสามคน ก็พากันนั่งทำพานบายศรี ตอนแรกก็คิดว่าจะไปเป็นลูกมือ แต่ไหนกลับกัน คนที่ไปทำดันกลับมาเป็นลูกมือดิฉันซะงั้น ภูมิใจจังได้นั่งทำพานบายศรี ไม่คิดว่าจะทำเป็น(สวยด้วยนะ ๕๕๕) ตกเย็นมาก็มีพราหมณ์มาทำการบายศรีสู่ขวัญให้ชาวค่าย รู้สึกอุ่นใจจัง ที่ชาวบ้านเค้ารักเราเหมือนลูกเหมือนหลานเลย แล้วก็ทานข้าวด้วยกัน สักหน่อยน้องๆที่โรงเรียนก็แบบว่า มารำให้เราดูเป็นการต้อนรับ แล้วก็เป็นธรรมเนียมที่ต้องมีการเปิดใจชาวค่าย พอเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว เราก็สวดมนต์ไหว้พระ แล้วก็นอนหลับพักผ่อน”
พอถึงวันที่สาม “ดิฉันตื่นแต่เช้า มาช่วยพี่ประธานค่ายเก็บขยะ น้องๆที่โรงเรียนมาหาพี่ๆกันแต่เช้ามากๆเลย ตอนแรกนะตามกำหนดการจะได้กลับกันประมาณ สี่โมงเช้า แต่ผิดคิวเล็กน้อย ได้กลับเกือบบ่ายสองแน่ะ ถึงบ้านก็ ๖ โมงเย็น” ยังก็ขอบอกว่าเหนื่อยมากๆ แต่ก็รู้สึกว่า ค่ายนี้สนุกมากถึงมากที่สุดเลย ผิดกลับตอนแรกที่ไม่อยากไปนะ ถ้ากลับมาถามใหม่นะ ไม่ไปอะเสียดายมากๆ (ขอบอก)
ท้ายสุดนี้นะ ขอกราบขอขอบพระคุณหลวงพี่โอ๊ตที่ให้เงินทุนสำหรับพวกเราได้มาทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ และขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่ให้การสนับสนุนกับทางค่ายเราเป็นอย่างดี


นางสาวบังอร แสนหนองจอก สมาชิกค่ายอาสา สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ ชั้นปีที่ 1
มีความรู้สึกกับค่ายนี้ว่า

 “ดีใจมากๆเลยนะ  อยากมามากๆ ตอนแรกที่มาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง กลัวเข้ากับเพื่อนๆพี่ ไม่ได้  พอถึงวันจริงๆนะ อาจารย์นัด ๖ โมง เช้า น้องมาตั้งแต่ ตี๕ เลย  ก็นึกว่าจะไม่ไปกันแล้ว ก็ไม่เห็นใครมากันเลย รอจน ๖ โมง ถึงมีเพื่อนๆมา” น้องเค้ายังบอกอีกว่า “การเดินทางของเรา เป็นอะไรที่สนุกมากๆ เราไม่มีการแบบว่าหลับเลย (หลับไม่ลงอะ)เพราะเรานั่งท้ายรถ (เสียวอย่างแรง มากๆๆๆ)นั่งรถมาสุดยอด(ทางนี้แบบว่า โอ้โห เวรี่ไกล)ขนาดเปลี่ยนท่านั่งนะตั้งสามรอบ ยังไม่มีการว่าจะถึงจุดหมายอีก(มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก) ซ้ำเพื่อนนะ อยู่ดีไม่ว่าดี ดันเอาขาเท่าช้าง(อิอิ)ไปติดกะเหล็ก ไม่รู้เหล็กเขาไปทำอะไรให้ เกิดอาการแบบว่า หัวเราะจนกรามค้างกันไปเป็นแถบๆเลย” ยังมีต่ออีก “โฮ้ กว่าจะมาถึงก็ทำเอาเมารถกันซะ ทางก็แบบว่า ทำเอาเราหัวแดงกันไปทั้งคันรถเลย (ฝุ่นเต็มเลย) แต่พอมาเห็นน้องๆนะ ชื่นใจมากๆ หายเหนื่อยเลย แล้วก็เริ่มเข้ากับเพื่อนๆกละพี่ๆได้ สนุกมากๆ พวกเราเรียนครูใช่ปะ ก็คิดว่าอีกประมาณสักสามปี ถึงจะได้ฝึกประสบการณ์ แต่มาค่ายนี้ เหมือนว่าได้ฝึกประสบการณ์การเป็นครูก่อนหน้าใครๆเลย ไม่คิดเลยว่าจะสนุกขนาดนี้ น้องๆน่ารักมากๆเดินตามก้นกันเป็นขบวนเลย” เดี๋ยวยังไม่จบ ขอพูดอีกนิดหนึ่ง “ดีใจมากๆเลย ปีหน้าถ้ามีค่ายอีกนะ อย่าลืมชวนหนูกะเพื่อนๆอีกนะ เต็มใจมากๆเลย และยังไงก็ต้องขอบอกพี่เลย ว่าพวกหนูต้องมากับพวกพี่ๆอีกให้ได้”


นางสาวอติพร  ศรีทอง สมาชิกค่ายอาสา สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ชั้นปีที่ 1
มีความรู้สึกกับค่ายนี้ว่า

 “หนูว่าค่ายนี้มันสนุกดี ได้ทำกิจกรรมกับน้องๆ ดีใจที่ได้เห็นน้องๆ ที่อาศัยอยู่ในที่แบบว่า ทุรกันดาร เลย ก็ว่าได้ พวกหนูสามารถเอากิจกรรมต่างๆ ที่เคยได้เรียนมา นำมาประยุกต์ใช้กับน้องๆ มาถ่ายทอดให้กับน้องๆ” ยังมีต่ออีกนะ”น้องที่โรงเรียน ก็ยังมาถามหนูอยู่เลย ว่าพี่จะมาอีกไหม”หนูก็ตอบไป “ว่าพี่เองก็ไม่รู้ ใจพี่ก็อยากมา แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหรือเปล่าไง”
น้องอติพรยังบอกอีกว่า “น้องๆที่โรงเรียนชอบพี่ๆทุกคนมากๆ เพราะว่าน้องๆไม่เคยมีกิจกรรมอย่างนี้ในโรงเรียนเลย น้องเค้าบอกอยากให้พี่ๆมาอีกจัง มาเที่ยวหาหนูก็ได้ หนูคิดถึงพี่ๆจังเลย”


ความรู้สึกของชาวบ้าน ที่มีต่อค่ายของเราในครั้งนี้

คุณแม่ดอกไม้ แก้มเหลี่ยม อาชีพทำไร่ข้าวโพด
มีความรู้สึกว่า

“แม่ดีใจที่ลูกๆมาค่ายในวันนี้ เพราะเด็กๆจะได้มีโรงครัวที่ดี ลูกๆที่มาเข้าค่ายก็นิสัยดี แม่มีความยินดีมากๆเลย และอยากให้ลูกๆได้มาพัฒนาหมู่บ้านนี้อีก”

คุณแม่สยาม  ตันตุลา   อาชีพทำไร่ข้าวโพด
มีความรู้สึกว่า

“ดีใจมากๆเลยจ๊า  อยากให้ลูกๆมาสร้างความเจริญแบบนี้อีก  น้องๆที่โรงเรียนก็จะได้มี ที่ที่สะดวกสบาย แล้วก็สะอาดด้วย”

คุณพี่อรัญญา   เนธิบุตร  อาชีพทำไร่ข้าวโพด
มีความรู้สึกว่า

“ดีใจ  ก็รู้สึกว่าพอใจที่พวกน้องๆได้มาปรับปรุงสภาพของโรงอาหารให้มีสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม”


ความรู้สึกของอาจารย์โรงเรียนบ้านกกสะตี ที่มีต่อค่ายของเราในครั้งนี้

คุณครุสุภัสสรณ์  ติคำ  (คุณครูหลิน)อาจารย์ประจำโรงเรียนบ้านกกสะตี
มีความรู้สึกว่า

“รู้สึกยินดีที่น้องๆเห็นความสำคัญกับสถานที่ราชการที่เป็นโรงเรียน  และยังตั้งอยู่ห่างไกลความเจริญ  ได้นำความเจริญมาพัฒนา และเติมเต็มให้โรงเรียนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน  น้องๆทุกคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี  น่ารักกันทุกคน  เข้ากับน้องๆนักเรียนได้ดี  กิจกรรมก็น่าสนใจ  อยากให้น้องๆนะ ถ้ามีโอกาสอยากให้น้องๆบอกเพื่อนที่อยู่ต่างจังหวัดอยากให้แนะนำให้เค้ารู้จัก  และเชิญชวนให้เค้ามาออกค่ายที่นี้ เพื่อที่จะมาสร้างในส่วนต่างๆที่ยังขาดเหลืออยู่  โครงการนี้นะควรมีการจัดต่อไปทุกๆปี  เพราะจะได้เป็นการสนับสนุนให้มีการส่งเสริมการเรียนการสอน  และทำให้ทุกคนมีความรู้ความสามารถและสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมีความสุข”


นางสาวประกายแก้ว   พิมพ์เสนา (พี่หน่อย) ครูอัตราจ้างโรงเรียนบ้านกกสะตี
มีความรู้สึกว่า

“พี่ว่ามันเป็นกิจกรรมที่ดี  นักศึกษาเองก็ได้ฝึกประสบการณ์  ได้แลกเปลี่ยนความคิด และยังเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านด้วย  ได้สร้างผลประโยชน์ให้กับชุมชน  และยังเป็นการกระตุ้นให้เด็กๆมีความกระตือรือร้น  มีความอยากรู้อยากรู้อยากเรียน และมีความสามัคคีในหมู่คณะ กิจกรรมนี้มีประโยชน์มากๆ พี่เห็นน้องๆมาเขาค่ายนะ พี่ก็คิดถึงเพื่อนสมัยเรียน ก็อยากให้น้องๆมีความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  มีความสามัคคีกันให้มาก ๆ ให้รักกัน ไม่สร้างความวุ่นวายให้กับคนอื่น”

ส่วนใครอยากอ่าน หรือศึกษาการรายงานผลการออกค่ายอย่างเป็นทางการ เชิญอ่านได้ที่ รายงานผลการดำเนินโครงการค่ายอาสาเศรษฐศาสตร์ปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย พ.ศ. ๒๕๕๒

บทความที่ได้รับความนิยม

กลับขึ้นบนสุด